ผังงานจะประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายต่างๆ ว่าการประมวลมีลำดับขั้นตอนใดบ้าง แต่ผังงานมีข้อจำกัดในเรื่องของการขาดรายละเอียด ดังนั้น ในการทำงานจริงๆแล้ว ซูโดโค้ดจึงมักถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนของอัลกอริทึมมากกว่า
ซูโดโค้ดมีรูปแบบเป็นโครงสร้างภาษาอังกฤษที่มีความคล้ายคลึงกับภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง แต่อย่างไรก็ตามการเขียนซูโดโค้ดไม่ได้มีมาตรฐานการเขียนที่ชัดเจนอย่างภาษาระดับสูง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเรียนรู่ถึงหลักการ เพื่อสามารถเขียนซูโดโค้ดให้สามารถสื่อสารกับโปรแกรมเมอร์ได้อย่างเข้าใจ
6.หลักการเขียนซูโดโค้ด
6.1 ถ้อยคำหรือประโยคคำสั่ง ให้เขียนอยู่ในรูปแบบของภาษาอังกฤษอย่างง่าย
6.2 ในหนึ่งบรรทัดให้เขียนประโยคคำสั่งเพียงคำสั่งเดียว
6.3 ควรใช้ย่อหน้าให้เป็นประโยชน์ เพื่อแยกคำเฉพาะ รวมถึงจัดโครงสร้างการควบคุมให้เป็นสัดส่วน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้อ่านง่าย
6.4 แต่ละประโยคคำสั่งให้เขียนลำดับจากบนลงล่าง โดยมีทางเข้าเพียงทางเดียวและมีทางออกทางเดียวเท่านั้น
6.5 กลุ่มของประโยคคำสั่งต่างๆอาจจัดรวมกลุ่มเข้าด้วยกันในรูปแบบของโมดูล แต่ต้องกำหนดชื่อโมดูลเหล่านั้นด้วย เพื่อให้สามารถเรียกใช้งานโมดูลนั้นได้
การที่จะลงมือเขียนโปรแกรม ต้องออกแบบขั้นตอนการทำงาน หรืออัลกอริทึม (Algorithm) ก่อน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการแสดงขั้นตอนการทำงานของระบบงานใด ๆ เพื่อให้การเขียนโปรแกรมเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายขึ้น โดยเราจะเขียนอัลกอริทึมในลักษณะผังงาน (Flowchart) หรือรหัสจำลองที่เรียกว่า
ซูโดโค้ด (Pseudocodes) ก็ได้
ซูโดโค้ด (Pseudocodes)
เป็นคำอธิบายขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม โดยใช้ถ้อยคำผสมระหว่างภาษาอังกฤษและภาษาการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง จะช่วยให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพัฒนาขั้นตอนต่าง ๆ ให้เป็นโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่มักใช้คำเฉพาะ (Reserve Word) ที่มีในภาษาการเขียนโปรแกรมและมักเขียนด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ ซูโดโค้ดที่ดี จะต้องมีความชัดเจน สั้น และได้ใจความ ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้จะถูกเขียนอยู่ในรูปของตัวแปร
รูปแบบ
Algorithm <ชื่อของอัลกอริทึม>
1……………………………….
2……………………………….
3…………………………………
END
ตัวอย่างที่ 1 การเขียนซูโดโค้ด สำหรับให้คอมพิวเตอร์หาค่าเฉลี่ยจากข้อมูลที่รับเข้าทางแป้นพิมพ์ ถ้าใส่ค่าศูนย์แสดงว่าหยุดป้อนข้อมูล เขียนได้ดังนี้
Algorithm การหาค่าเฉลี่ย
1. เริ่มต้น
2. ตัวนับ = 0
3. ผลรวม = 0
4. รับค่าทางแป้นพิมพ์เก็บไว้ในตัวแปร (ข้อมูล)
5. ถ้า ข้อมูล มากกว่า 0
เพิ่มค่าตัวนับขึ้นหนึ่งค่า
ผลรวม = ผลรวม + ค่าข้อมูล
ย้อนกลับไปทำขั้นตอนที่ 3
ถ้าไม่มากกว่าไปทำขั้นตอนที่ 5
6. ค่าเฉลี่ย = ผลรวมหารด้วยตัวนับ
7. แสดงค่าเฉลี่ยทางจอภาพ (ทศนิยมสองตำแหน่ง)
จบAlgorithm Average_Sum
1. START
2. count =0
3. sum = 0
4. INPUT (value)
5. IF value > 0 THEN
count = count +1
sum = sum + value
GOTO 3
ELSE GOTO 5
6. average = sum / count
7. OUTPUT (average)
END ตัวอย่างที่ 2 การเขียนซูโดโค้ด คำนวณหาพื้นที่สามเหลี่ยม หรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ดังนี้
Algorithm การหาพื้นที่สามเหลี่ยม
1. เริ่มต้น
2. รับค่าความยาวของฐานมาเก็บในตัวแปร X
3. รับค่าความยาวของสูงมาเก็บในตัวแปร Y
4. คำนวณหาพื้นที่ ARRAY = ( X*Y ) / 2
5. แสดงผลพื้นที่
จบAlgorithm Average_Sum
1. START
2. READ X
3. READ Y
4. Compute ARRAY = ( X*Y ) / 2
5. Print ARRAY
END
2. การเขียนผังงาน (Flowchart)
ผังงาน หรือ โฟลวชาร์ต เป็นแผนภาพที่ใช้ออกแบบและอธิบายการทำงานของโปรแกรมโดยอาศัยรูปทรงต่าง ๆ ควบคู่ไปกับลูกศร แต่ละรูปในแผนภาพจะหมายถึงการทำงานหนึ่งขั้นตอน ส่วนลูกศรจะแทนลำดับการทำงานขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งทิศทางการไหลของข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นจนได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ระบบงานทุกชนิดที่ผ่านการวิเคราะห์เป็นลำดับขั้นตอนแล้ว จะสามารถเขียนเป็นผังงานได้
ประโยชน์ของผังงาน
1. ช่วยอธิบายลำดับขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม
2. ทำให้ตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้ง่าย
3. ทำให้ผู้อื่นสามารถศึกษาการทำงานของโปรแกรมและแก้ไขโปรแกรมได้ง่าย
การเขียนผังงานที่ดี
1. เขียนตามสัญลักษณ์ที่กำหนด
2. ใช้ลูกศรแสดงทิศทางการทำงานจากบนลงล่าง
3. อธิบายสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย
4. ทุกแผนภาพต้องมีทิศทางเข้าออก
5. ไม่ควรโยงลูกศรไปที่ไกลมาก ๆ ถ้าต้องทำให้ใช้สัญลักษณ์การเชื่อมต่อแทน
การเขียนผังงาน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ผังงานระบบ (System Flowchart) ใช้แสดงขั้นตอนการทำงานในระบบงานหนึ่ง ๆ โดยกล่าวถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น เอกสารเบื้องต้นคืออะไร วัสดุที่ใช้คืออะไร หน่วยความจำประเภทใด จะต้องส่งผ่านไปยังหน่วยงานใด วิธีการประมวลผลและการแสดงผลลัพธ์ โดยอาจจะกล่าวอย่างกว้าง ๆ ไม่สามารถนำมาเขียนเป็นโปรแกรมได้
2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart) ผังงานประเภทนี้ จะแสดงถึงขั้นตอนของคำสั่งที่ในโปรแกรม การรับข้อมูล การประมวลผล การแสดงข้อมูล บางครั้งเรียกว่าผังการเขียนโปรแกรม
เครื่องหมาย = จะนำมาใช้เพื่อการกำหนดค่าและการคำนวณ เช่น x=0,sum = x+y
การอ่านหรือรับข้อมูล สามารถใช้คำสั่ง PRINT,PROMPT และ WPITE แต่ PRINT และ PROMPT มักกูกนำไปใช้สำหรับการพิมพ์ค่าข้อมูล หรือข้อความ ในขณะที่ WIRITE จะนำไปใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลลงในแฟ้มข้อมูล
การแสดงผลข้อมูล สามารถใช้คำสั่ง PRINT , PROMPT , และ WRITE แต่ PRINT และPROMPT มักถูกนำไปใช้สำหรับการพิมพ์ค่าข้อมูล หรือข้อความในขณะที่ WRITE จะรำไปใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลลงในแฟ้มข้อมูล
การกำหนดเงื่อนไข จะใช้ประโยคIF…THEN…ELSE โดยหากเงื่อนไขที่ตรวจสอบเป็นจริง ก็จะทำกิจกรรมหลัง THEN แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จก็จะทำกิจกรรมหลังELSE กรณีที่มีการตรวจสอบเงื่อนไข IF ซ้อนกันหลายๆ ชั้น อาจทำให้แลดูยุ่งเหยิงและตรวจสอบยาก ดังนั้น จึงสามารถใช้คำสั่ง CASE…ENDCASE แทนได้
ค ำสั่งที่ใช้ทำงานเป็นรอบหรือลูป มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกันคือ
1. ลูป WHILE…ENDWHILE เป็นลูปที่มีการตรวจสอบเงื่อนไขก่อน ดังนั้นหากเงื่อนไขเป็นจริงก็จะทำกิจกรรมภายในลูปซ้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเงื่อนไขเป็นเท็จก็จะหลุดออกจากลูป แต่อย่างไรก็ตาม หากเงื่อนไขที่ตรวจสอบครั้งแรกเป็นเท็จก็จะไม่มีการดำเนินกิจกรรมภายในลูปเลย
2. ลูป DO…UNTIL เป็นลูปที่อย่างน้อยต้องดำเนินการภายในลูปรอบหนึ่งเสมอจากนั้นจึงทำการตรวจสอบเงื่อนไขโดยจะวนซ้ำเรื่อยๆ จนกว่าเงื่อนไขจะเป็นเท็จ จึงหลุดออกจากลูป
3. ลูป FOX…NEXT เป็นลูปที่มีการกำหนดรอบการวนซ้ำที่จำนวนรอบที่แน่นอน
กรณีที่โปรแกรมมีขนาดใหญ่ อาจเขียนซูโดโค้ดด้วยด้วยการแบ่งออกเป็นโพรซีเยอร์ได้โดยแต่ละโพรซีเยอร์ต่างก็มีหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ และสามารถเรียกใช้งานได้บ่อยตามที่ต้องการ สำหรับการเรียกใช้งาน ก็จะใช้ชุดคำสั่ง CALL แล้วตามด้วยชื่อโพรซีเยอร์ และเมื่อทำงานจนโพรซีเยอร์นั้นๆ แล้ว ก็จะกลับมายังตัวโปรแกรมหลัก เพื่อทำงานชุดคำสั่งในลำดับถัดไป